เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก All New Mercedes-Benz GLA 2020 นับเป็น 2nd Generation ของ GLA-Class ยังคงใช้พื้นฐานขับเคลื่อนล้อหน้า เหมือนในตระกูล A-Class / B-Class เบื้องต้นเปิดตัวด้วย 2รหัสเครื่องยนต์เบนซิน GLA200 และ AMG GLA35 4MATIC
GLA ถูกออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งหมด โดยรุ่นท๊อปสุดที่เรียกว่าAMG GLA 35 มาพร้อมกระจังหน้าทรงตั้งของAMG ที่ช่วยสร้างความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ซึ่งดีไซน์โดยรวมของAll-New GLA ให้ความรู้สึกเป็น SUV มากกว่ารุ่นที่แล้ว และยังมีเส้นสายแนวหลังคาที่ดูเป็นคูเป้มากขึ้นด้วย
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือรหัสตัวถังที่ใช้ใหม่แทนที่คำนำหน้าด้วย X เหมือนอย่างรุ่นที่แล้ว โดยในรุ่นนี้ใช้รหัส H247 ซึ่งแชร์พื้นตัวถังรุ่น MFA 2 ร่วมกับ W247 ซึ่งเป็น B-Class และ X247 ซึ่งเป็น GLB ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยในแง่ของมิติตัวถังเมื่อเปรียบเทียบกับ GLA รุ่นแรกแล้ว จะพบว่าตัวรถสั้นลง 15 มิลลิเมตรเป็น 4,410 มิลลิเมตร แคบลง 0.1 มิลลิเมตรเป็น 1,834 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 104 มิลลิเมตรเป็น 1,611 มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อถูกขยายเพิ่มขึ้นอีก 30 มิลลิเมตรเป็น 2,729 มิลลิเมตร
ภายในห้องโดยสาร เพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้นทั้งด้านหน้าและหลัง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มาพร้อมระบบควบคุม Multimedia ” MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ” พร้อมหน้าจอขนาดใหญ่
หน้าจอคู่Dual Screen Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ มาตรวัด Fully-Digital 10.25 นิ้ว ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ Classic Sport Supersport ตามรูปแบบการขับขี่ Ambient Light 64 สี ช่องแอร์เรืองแสง illuminated Air Vents แบบ Turbine
ในช่วงแรกจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นAMG GLA 35 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ ความจุ2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 306 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.1 วินาที และสามารถเลือกออฟชั่นเป็นAMG TRACK PACE ที่สามารถเก็บข้อมูลการขับขี่บนสนามแข่งได้
ส่วนอีกรุ่นเป็นGLA 200 ที่มาพร้อมเครื่องเบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1.3 ลิตรให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมระบบช่วยลดการทำงานของลูกสูบเพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองและมลพิษ โดยระบุว่าปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 129 กรัมต่อกิโลเมตร